ถุงใต้ตาเกิดจากอะไร แก้ไขได้อย่างไร ให้ตากลับมาแลดูสุขภาพดี
- Saonanon Content

- 2 วันที่ผ่านมา
- ยาว 3 นาที
Key Takeaway
ถุงใต้ตา คือผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณใต้ดวงตาที่เกิดการบวม นูน หรือหย่อนคล้อย ทำให้เห็นเป็นถุงใต้ตาที่ดูเหนื่อยล้าและแก่กว่าวัยชัดเจน
สาเหตุของถุงใต้ตาเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและผิวหนังใต้ตา การสะสมหรือเคลื่อนตัวของไขมันใต้ผิว รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเครียด อาการภูมิแพ้ การนอนน้อย และการเปลี่ยนแปลงสภาพผิวตามวัย
วิธีแก้ไขถุงใต้ตามีตั้งแต่วิธีการใช้ครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ให้ผิวกระชับ นวดกระตุ้นการไหลเวียนเลือด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนตัว รวมถึงวิธีรักษาถุงใต้ตาทางการแพทย์ เช่น ฉีดสารเติมเต็ม หรือการผ่าตัด
วิธีลดถุงใต้ตาตามธรรมชาติ คือการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา และประคบเย็นบริเวณใต้ตาเพื่อช่วยลดอาการบวมและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
เคยสังเกตไหม? คุณตา คุณยายหรือผู้สูงอายุที่บริเวณใต้ตามักจะมีความบวม หย่อนคล้อย และมีลักษณะคล้ายถุง เรียกว่าเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุเลยก็ว่าได้ แม้ในคนอายุน้อยอาจจะไม่ได้เห็นบ่อยๆ แต่ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้ในกลุ่มคนอายุยังไม่มาก เพราะจริงๆ แล้วถุงใต้ตาเกิดจากอายุที่มากขึ้นและการเสื่อมสภาพของผิวหนัง กรรมพันธุ์ การทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ อาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้ อาการตาแห้ง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ ของเราก็มีส่วนด้วย
เรื่องราวของถุงใต้ตานี่ซับซ้อนกว่าที่คิด ทำให้ไม่มั่นใจได้ ยิ่งในคนอายุน้อย หากมีถุงใต้ตาแล้วจะทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า ไม่สดใส โทรม และดูมีอายุ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินจะเข้าใจ ใครที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่และอยากหาวิธีรักษาถุงใต้ตาให้หายไป บทความนี้จะรู้จักเรื่องถุงใต้ตาว่าถุงใต้ตาเยอะเกิดจากอะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร มีผลเสียอย่างไร และจะแก้ไขด้วยวิธีไหนบ้าง?

ถุงใต้ตาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร?
ถุงใต้ตามีลักษณะเป็นเหมือนถุงที่ห้อยย้อยลงมา คือความบวมเล็กๆ ใต้ดวงตาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าแม้เพิ่งตื่นนอน ลักษณะทั่วไปจะเป็นผิวหนังใต้ตาที่หย่อนคล้อย หรือมีรอยพับเล็ก นอกจากนี้ บางครั้งอาจมีความคล้ำร่วมด้วย ทำให้ดวงตาดูหมองลง สำหรับคนที่อายุยังน้อยจะทำให้หน้าดูโทรม เหนื่อยล้า และดูแก่กว่าวัย บางคนมีถุงใต้ตาเยอะ บางคนมีเล็กน้อย แตกต่างกันไปแต่ละคน ยิ่งมีอายุมากขึ้นโอกาสเกิดถุงใต้ตาก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ถุงใต้ตาเกิดจากอะไรได้บ้าง?
ถุงใต้ตาไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มๆ แต่มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้เกิดขึ้นได้ และบางครั้งก็สามารถบอกเราได้ถึงสัญญาณของร่างกายหรือโรคบางอย่าง เช่น ปัญหาการทำงานของต่อมไร้ท่อ โรคภูมิแพ้ โรคเรื้อรังบางชนิด อย่างไทรอยด์ โรคไต โรคหัวใจ และปัญหาระบบน้ำเหลืองที่ส่งผลต่อการคั่งของของเหลวในร่างกาย หรือจะเป็นสภาพผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ มาดูปัจจัยอื่นๆ ว่าถุงใต้ตาบวมเกิดจากอะไรได้อีกบ้าง!
อายุที่มากขึ้น
เมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวหนังรอบดวงตาจะเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นและความแน่นของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อที่พยุงไขมันใต้ตาอ่อนแรงลง ทำให้ไขมันดันออกมาเป็นถุงใต้ตา ผิวบริเวณนี้จึงดูหย่อนคล้อยและบวมเล็กน้อย เรื่องนี้เป็นธรรมชาติของร่างกายที่สะท้อนถึงการเสื่อมสภาพของผิว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมไม่ได้ เพราะการดูแลผิวและปรับพฤติกรรมบางอย่างสามารถช่วยชะลอการเกิดถุงใต้ตาได้เช่นกัน
กรรมพันธุ์
บางครั้งถุงใต้ตาเกิดได้ไม่ใช่เพราะอายุหรือการใช้ชีวิต แต่เป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่สืบทอดมาจากครอบครัว หากพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิดมีถุงใต้ตาชัดเจน โอกาสที่เราจะมีลักษณะคล้ายกันก็สูง ผิวหนังบางหรือเนื้อเยื่อรอบดวงตาที่อ่อนแอกว่าทำให้ไขมันใต้ตาดันออกมาเป็นถุงง่ายขึ้น แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่กรรมพันธุ์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงใต้ตาปรากฏตั้งแต่ยังอายุน้อยได้
การทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ (Endocrine Gland)
ต่อมไร้ท่อมีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมนต่างๆ ของร่างกาย หากต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ เช่น ต่อมไทรอยด์หรือต่อมหมวกไต ฮอร์โมนบางชนิดอาจไม่สมดุล ส่งผลให้ร่างกายเก็บน้ำหรือเกิดการอักเสบบริเวณใต้ตา ทำให้เกิดความบวมและถุงใต้ตาชัดเจนขึ้น สาเหตุนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องความงาม แต่สามารถบอกเราได้ถึงสัญญาณสุขภาพที่ควรใส่ใจและตรวจเช็กเพิ่มเติม
อาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้
เมื่อร่างกายมีอาการแพ้หรือเป็นโรคภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะทำให้เกิดการอักเสบและเก็บน้ำบริเวณใต้ตา ส่งผลให้เกิดความบวมและถุงใต้ตา นอกจากนี้ อาการคันและการขยี้ตาบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ผิวรอบดวงตาบอบบางลง ทำให้ถุงใต้ตาปรากฏชัดขึ้น สาเหตุนี้จึงสะท้อนถึงการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ และเป็นสัญญาณให้ใส่ใจสุขภาพรอบดวงตาและระบบภูมิคุ้มกันด้วย
อาการตาแห้ง
เมื่อดวงตามีอาการแห้งต่อเนื่อง ร่างกายจะพยายามชดเชยด้วยการสร้างความชุ่มชื้นและเก็บน้ำบริเวณรอบดวงตา ผลลัพธ์คือทำให้ใต้ตาบวมและเกิดถุงใต้ตา ผิวรอบดวงตาที่บอบบางก็อาจหย่อนคล้อยได้ง่ายขึ้น ทำให้ถุงใต้ตาดูชัดขึ้น แม้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่การดูแลความชุ่มชื้นของดวงตาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสเกิดถุงใต้ตาและทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้นด้วย
ความเครียด
ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ รวมถึงระบบฮอร์โมนและการไหลเวียนเลือด เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนความเครียดมากเกินไป น้ำและของเสียอาจคั่งบริเวณใต้ตา ทำให้เกิดถุงใต้ตา นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลให้นอนหลับไม่เพียงพอ ที่ยิ่งทำให้ถุงใต้ตาชัดขึ้น การจัดการความเครียดและพักผ่อนเพียงพอจึงเป็นวิธีช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
พฤติกรรมการใช้ชีวิต
พฤติกรรมประจำวันที่เราทำเป็นประจำมีผลต่อการเกิดถุงใต้ตา แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เมื่อทำบ่อยๆ รวมกันแล้ว ก็ทำให้เกิดถุงใต้ตาชัดขึ้นได้ ลองมาดูสาเหตุจากพฤติกรรมต่างๆ กัน
พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำใต้ตาไม่สมดุล เกิดการคั่งน้ำและบวม จึงทำให้ถุงใต้ตาชัดเจนขึ้น
ขยี้ตาแรง เมื่อทำบ่อยๆ หรือแรงเกินไป ทำให้ผิวรอบดวงตาอ่อนแอและเกิดรอยย่น ส่งผลให้ไขมันใต้ตาดันออกมาเป็นถุง
ใช้สายตามากเกินไป จ้องหน้าจอนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาและผิวรอบดวงตาอ่อนล้า เส้นเลือดขยายตัว เกิดความหมองคล้ำและบวมบริเวณใต้ตา
กินอาหารรสเค็มจัด กินเกลือมากเกินไปทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ ส่งผลให้ใต้ตาบวมและเกิดถุงใต้ตาได้
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ การขาดน้ำทำให้ร่างกายพยายามกักเก็บน้ำบริเวณใต้ตา ส่งผลให้เกิดถุงและใต้ตาบวม
ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำและผิวเสียความยืดหยุ่น ทำให้ถุงใต้ตาชัดขึ้น
สูบบุหรี่บ่อยๆ สารพิษในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและเส้นเลือดรอบดวงตา ทำให้ผิวบางลงและไขมันใต้ตาดันออกมาเป็นถุงง่ายขึ้น
ระยะของถุงใต้ตามีกี่แบบ?
ถุงใต้ตาไม่ได้มีลักษณะเดียวกัน แต่แบ่งออกเป็นหลายระยะตามลักษณะและความรุนแรง การรู้จักระยะของถุงใต้ตาจะช่วยให้เข้าใจว่าเราควรดูแลหรือปรับพฤติกรรมอย่างไร ลองมาดูกันทีละขั้นกัน!
ระยะแรก (Mild stage) ถุงใต้ตาเริ่มปรากฏเพียงเล็กน้อย ผิวใต้ตายังไม่หย่อนคล้อยมาก อาจสังเกตเห็นได้เฉพาะเวลาที่ร่างกายเหนื่อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
ระยะที่สอง (Moderate stage) ถุงใต้ตาชัดเจนขึ้น ผิวรอบดวงตาเริ่มหย่อนคล้อย มีความบวมถาวรบางส่วน และอาจมีรอยคล้ำร่วมด้วย ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าแม้พักผ่อนเพียงพอ
ระยะที่สาม (Severe stage) ถุงใต้ตาปรากฏเด่นชัด ผิวหนังหย่อนคล้อยมาก ไขมันใต้ตาดันออกมาเป็นถุงชัดเจน อาจส่งผลต่อความมั่นใจและความงามของใบหน้า การดูแลแค่วิธีธรรมชาติอาจไม่เพียงพอในระยะนี้
ถุงใต้ตาบวมข้างเดียว เกิดจากอะไร?
ถุงใต้ตาบวมข้างเดียวเกิดจากปัจจัยเฉพาะข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ได้เหมือนถุงใต้ตาที่เกิดพร้อมกันทั้งสองข้าง ปัจจัยที่พบบ่อย เช่น การนอนท่าที่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานาน อาการแพ้หรือการติดเชื้อเฉพาะข้าง การอักเสบ หรือแม้แต่การบาดเจ็บรอบดวงตา บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ เช่น ต่อมไร้ท่อหรือโรคเกี่ยวกับไต
นอกจากนี้ อาจเกี่ยวกับภาวะเยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) หรือที่รู้จักกันดีว่า ‘ตาแดง’ เกิดจากการติดเชื้อหรืออักเสบบริเวณเยื่อบุตาขาว ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสและสามารถหายเองได้ เมื่ออาการตาแดงดีขึ้น ถุงใต้ตาก็มักลดลงตามไปด้วย เมื่อถุงใต้ตาบวมเพียงข้างเดียว อาจเป็นสัญญาณให้สังเกตและดูแลร่างกายอย่างใกล้ชิด หากเกิดขึ้นกะทันหันหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน

วิธีแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา
ถุงใต้ตาสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุ สำหรับคนที่ไม่อยากผ่าตัดหรือถุงใต้ตายังไม่ชัดเจน การใช้วิธีทางการแพทย์แบบไม่ผ่าตัดก็เป็นตัวเลือกที่ดีและเห็นผลได้ แต่ถ้าอยู่ในระยะที่วิธธรรมชาติแก้ไขไม่ได้แล้ว วิธีผ่าตัดก็ช่วยรักษาถุงใต้ตาได้ดี
1. การผ่าตัดถุงใต้ตา
สำหรับคนที่มีถุงใต้ตามาก การดูแลด้วยวิธีธรรมชาติอาจไม่เพียงพอ ในกรณีนี้สามารถผ่าตัดถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty) เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อก่อนการผ่าตัดมักใช้วิธีเอาไขมันและหนังส่วนเกินออก แต่กลับไม่สามารถแก้ไขถุงใต้ตาได้จริง ในปัจจุบัน การผ่าตัดจึงย้ายไขมันใต้ตาไปรองร่องใต้ตา และตัดพังผืดระหว่างผิวหนังและกระบอกตาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นถุงอีกครั้ง
สามารถทำผ่านเยื่อบุตาโดยตรง หากมีการหย่อนของเปลือกตาล่างจนทำให้ตาแฉะ น้ำตาไหล หรือกระจกตาอักเสบ จำเป็นต้องผ่าตัดร่วมกับการยกดึงใต้ตาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เหมาะสำหรับคนอายุน้อย เพราะไม่ทิ้งรอยแผลผิวหนัง และยังสามารถยกกระชับผ่านแผลขีดหางตาที่ซ่อนอยู่ ทำให้ไม่เกิดรอยแผลเป็นหรือดึงรั้งผิวจนเห็นตาขาว
ส่วนสำหรับผู้สูงอายุที่หนังเกินชัด ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า อาจมีแผลเล็กประมาณ 5 - 6 มม. ที่หางตาเพื่อตัดเนื้อบางส่วนโดยไม่ทิ้งรอย และบางกรณีอาจเสริมด้วยการเติมไขมันตัวเองจากหน้าท้องเพื่อแก้ไขร่องลึกใต้ตา
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว การแพ้ยา อาหารเสริม หรือสมุนไพร
แจ้งประวัติการผ่าตัดก่อนหน้า
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
งดยาละลายลิ่มเลือด 2 - 4 สัปดาห์ ก่อนผ่าตัด
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
พาญาติมาด้วยหากต้องขับรถ
ลางานพักฟื้นอย่างน้อย 3 วัน
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด
พักผ่อนประมาณ 3 วันหลังผ่าตัด
ประคบเย็นอย่างสม่ำเสมอใน 3 วันแรก
นอนศีรษะสูงเพื่อลดบวม
หลีกเลี่ยงการโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน
ห้ามใช้มือไม่สะอาดสัมผัสดวงตาหรือขยี้ตา
งดการจ้องจอหรือใช้สายตาหนัก
กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
2. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเติมเต็มร่องใต้ตาและปรับรูปถุงใต้ตาให้เรียบเนียน เหมาะกับคนที่มีถุงใต้ตาไม่ใหญ่มาก หรือมีร่องลึกบริเวณใต้ตา ข้อดีคือเห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้นนานหากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ แต่ข้อควรระวังคือ อาจเกิดฟิลเลอร์เป็นก้อน บวม หรือฟกช้ำชั่วคราวได้ นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์เป็นแค่วิธีชั่วคราว ต้องฉีดซ้ำเมื่อฟิลเลอร์สลายตัวตามอายุของสารเติมเต็ม
3. Hifu
การทำ Hifu (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นวิธีใช้คลื่นเสียงความถี่สูงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวรอบดวงตา ทำให้ผิวกระชับและร่องใต้ตาลดลง เหมาะกับคนที่มีถุงใต้ตาเล็กถึงปานกลาง หรือผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ข้อดีคือไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บตัวมาก และพักฟื้นน้อย เห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไปและยาวนานหลายเดือน ข้อควรระวังคือ อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ
4. Thermage
การทำ Thermage เป็นวิธีใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน (Elastin) ใต้ผิว ทำให้ผิวรอบดวงตากระชับและร่องใต้ตาลดลง เหมาะกับคนที่มีถุงใต้ตาเล็กถึงปานกลาง หรือผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยโดยยังไม่ต้องการผ่าตัด ข้อดีคือ ไม่เจ็บมาก ไม่ต้องพักฟื้น และเห็นผลค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผิวเรียบเนียนและยกกระชับขึ้น ข้อควรระวังคืออาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ
5. การดูดไขมัน
การดูดไขมันใต้ตา เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยนำไขมันส่วนเกินออก ทำให้ถุงใต้ตาลดลงและผิวใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับคนที่มีถุงใต้ตาชัดเจนหรือไขมันสะสมเยอะ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ผิวหนังหย่อนคล้อย ข้อดีคือ เห็นผลชัดเจนและนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์หรือเครื่องมือกระชับผิว และสามารถปรับรูปใต้ตาให้สมดุลกับใบหน้าได้ ข้อควรระวังคือ อาจมีรอยฟกช้ำ บวม หรือแผลเล็กหลังทำ
6. เลเซอร์ถุงใต้ตา
เลเซอร์ถุงใต้ตาใช้พลังงานเลเซอร์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิวรอบดวงตา ทำให้ผิวเรียบเนียนและร่องใต้ตาลดลง เหมาะกับคนที่มีถุงใต้ตาเล็กถึงปานกลาง หรือผิวหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย โดยไม่ต้องการผ่าตัด ข้อดีคือไม่เจ็บมาก ไม่ต้องพักฟื้นนาน และลดเลือนร่องใต้ตาได้อย่างอ่อนโยน แต่ข้อควรระวังคือ อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ
ลดถุงใต้ตาตามธรรมชาติง่ายๆ ด้วยตัวเอง
ถุงใต้ตาสามารถลดเลือนได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอด้วยครีมใต้ตา หรือประคบเย็น แม้จะไม่เห็นผลรวดเร็วเหมือนการทำทางการแพทย์ แต่ช่วยให้ดวงตาดูสดใสและลดความบวมได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ปรับพฤติกรรมส่วนตัว
การปรับพฤติกรรมประจำวันช่วยลดถุงใต้ตาและบำรุงสุขภาพร่างกายไปพร้อมกัน
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ตั้งเวลานอนให้ตรงเวลา พยายามนอน 7 - 8 ชั่วโมงต่อคืน และสร้างบรรยากาศห้องนอนเงียบสงบ ลดการใช้มือถือก่อนนอน
เลี่ยงพฤติกรรมขยี้ตา หากรู้สึกคันตา ใช้ผ้าสะอาดหรือสำลีชุบน้ำเย็นประคบแทนการขยี้ ลดโอกาสผิวใต้ตาบอบบางและถุงใต้ตาชัดขึ้น
พักสายตาเป็นช่วงๆ เมื่อทำงานหน้าจอนาน ควรพักสายตาทุก 50 - 60 นาที เช่น มองออกไปไกลๆ ประมาณ 20 - 30 วินาที หรือใช้กฎ 20-20-20 ที่ทุก 20 นาที มองสิ่งที่อยู่ห่าง 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
ลดอาหารรสเค็ม หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปหรือเค็มจัด เน้นอาหารทำสด ผักและผลไม้ เพื่อป้องกันการกักเก็บน้ำบริเวณใต้ตา
ดื่มน้ำให้พอเหมาะ วันละ 1.5 - 2 ลิตร ช่วยให้ร่างกายไม่กักเก็บน้ำและผิวใต้ตาชุ่มชื้น
ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ร่างกายขาดน้ำและผิวหย่อนคล้อย เพิ่มความชัดของถุงใต้ตาขึ้นไปอีก
ลดการสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวบาง ร่องใต้ตาชัดขึ้น
ประคบเย็น
การประคบเย็นเป็นวิธีลดถุงใต้ตาง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยอุปกรณ์ใกล้ตัว เช่น น้ำแข็ง ช้อนแช่เย็น หรือผ้าเย็น เพียงนำมาประคบใต้ตาประมาณ 5 - 10 นาที สามารถทำได้หลังตื่นนอนหรือหลังร้องไห้เพื่อช่วยลดความบวม แต่ควรระวังให้สิ่งที่ใช้ประคบสะอาดเสมอ เพราะผิวบริเวณดวงตาบอบบางและระคายเคืองง่าย
ทาครีมใต้ตา
ครีมทาใต้ตาหลายแบรนด์ในท้องตลาดออกแบบมาเพื่อช่วยลดความคล้ำและบวมใต้ตา โดยควรมองหา Eye Cream หรือ Eye Mask ที่มีส่วนผสมของ Caffeine (กาเฟอีน) ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบวมของผิวรอบดวงตา ทำให้ดวงตาดูสดใสและเรียบเนียนขึ้น
ปัญหาถุงใต้ตากับดอลลี่อาย ต่างกันอย่างไร?
แม้จะอยู่บริเวณใต้ตาเหมือนกัน แต่ถุงใต้ตาและดอลลี่อายแตกต่างกันชัดเจน ถุงใต้ตาเกิดจากผิวหนังหย่อนคล้อยหรือไขมันใต้ตาสะสม ทำให้เกิดบวมและร่องใต้ตาชัดเจน ส่วนดอลลี่อายเป็นลักษณะดวงตาที่ดูกลมโตสดใส มีโคนตาล่างโค้งนูนเล็กน้อย ทำให้ตาดูน่ารักและอ่อนเยาว์ ไม่เกี่ยวกับไขมันหรือผิวหย่อนคล้อย ดังนั้น ถุงใต้ตามักทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ขณะที่ดอลลี่อายช่วยให้ตาดูสดใสและมีเสน่ห์มากขึ้น
ปัญหาถุงใต้ตากับขอบตาคล้ำ เหมือนหรือต่างกัน?
หลายคนสับสนระหว่างถุงใต้ตาและขอบตาคล้ำ แต่จริงๆ แล้วเป็นปัญหาคนละแบบ ถุงใต้ตาเกิดจากไขมันสะสม ผิวหย่อนคล้อย หรือบวมน้ำ ทำให้ใต้ตาดูบวมและมีรอยพับ ส่วนขอบตาคล้ำเกิดจากเม็ดสีเมลานิน (Melanin) สะสม เส้นเลือดใต้ผิว หรือผิวบาง จึงทำให้ใต้ตาดูคล้ำหรือหมอง แม้ว่าทั้งสองปัญหาจะปรากฏในบริเวณเดียวกัน แต่สาเหตุและวิธีแก้ไขแตกต่างกัน การเข้าใจความต่างนี้จึงช่วยเลือกวิธีรักษาถุงใต้ตาได้ตรงจุดมากขึ้น
แก้ไขถุงใต้ตาที่เศาณานนท์คลินิก (Saonanon) ดีอย่างไร
รศ.พญ.เปรมจิต เศาณานนท์ จักษุแพทย์ (จักษุตกแต่งและเสริมสร้าง) แพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการผ่าตัดเปลือกตา ทั้งเพื่อความสวยงามและการรักษาโรค
แพทย์ได้รับการยอมรับทั้งด้านความเชี่ยวชาญทางวิชาการและฝีมือการผ่าตัดในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในการแก้ไขตาสองชั้นจากการศัลยกรรม ถุงใต้ตา และหนังตาเกินในผู้สูงอายุ
มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนการรักษาจะดำเนินไปอย่างประณีต และได้มาตรฐาน ราคาสมเหตุสมผล พร้อมมีรีวิวเทียบให้ดูความต่างระหว่างก่อนทำและหลังทำ
คลินิกให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และความพึงพอใจของผู้รับบริการเป็นหลัก มากกว่ามุ่งหวังผลกำไร จึงสามารถมั่นใจได้ว่าทุกคำแนะนำและการดูแลที่ได้รับ จะถูกออกแบบมาเพื่อประโยชน์และความเหมาะสมสำหรับคุณเสมอ
สรุป
ถุงใต้ตาเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่อายุที่มากขึ้น กรรมพันธุ์ การทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ อาการแพ้ ตาแห้ง ความเครียด และพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ แบ่งอาการออกเป็นหลายระยะตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรง การแก้ไขมีทั้งแบบวิธีธรรมชาติ เช่น การพักผ่อน ปรับพฤติกรรม ดื่มน้ำเพียงพอ ประคบเย็น ใช้ครีมลดบวม และวิธีแบบทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดถุงใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ เลเซอร์ Hifu Thermage หรือการดูดไขมัน ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะกับความรุนแรงและสภาพผิวแตกต่างกัน
Saonanon Clinic เรามีบริการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาด้วยวิธีผ่าตัดถุงใต้ตา โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ทำให้คุณกลับมามีดวงตาสดใสและใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับถุงใต้ตา (FAQ)
ตัดถุงใต้ตาอยู่ได้กี่ปี?
การผ่าตัดถุงใต้ตาให้ผลนานในเรื่องการเอาไขมันและหนังส่วนเกินออก แต่ผิวหนังยังคงเสื่อมสภาพตามวัย ดังนั้น ผลลัพธ์อาจคงอยู่ประมาณ 10 - 15 ปี ขึ้นอยู่กับอายุและพฤติกรรมการดูแลตัวเอง
การตัดถุงใต้ตามีผลเสียอะไรบ้าง?
ผลข้างเคียงอาจมีบวม ฟกช้ำ ชาเล็กน้อย หรือแผลติดเชื้อ หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์โอกาสเกิดปัญหาจะน้อย การเลือกคลินิกมาตรฐานและปฏิบัติตามคำแนะนำหลังผ่าตัดก็ช่วยลดความเสี่ยงด้วย
ตื่นนอนแล้วใต้ตาบวม เกิดจากอะไร?
เกิดจากการคั่งน้ำใต้ตาขณะนอนหลับ รวมถึงพฤติกรรมก่อนนอน เช่น นอนดึก กินอาหารเค็ม หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก ทำให้เลือดและน้ำสะสมบริเวณใต้ตา ทำให้ตื่นมาใต้ตาบวมชั่วคราว






ความคิดเห็น